รายละเอียด
ดาวน์โหลด Docx
อ่านเพิ่มเติม
(ท่านมีชื่อเสียง ในเรื่องการส่งเสริมสันติภาพ ที่นี่ในสหรัฐอเมริกา และที่นี่ในเมืองนี้ มีความรุนแรงมากมาย ที่เกิดขึ้นทั่วทั้งสหรัฐอเมริกา) ใช่ (ความรุนแรงมากมาย ท่านจะแก้ไข ความรุนแรงนี้อย่างไร โดยเฉพาะกับวัยรุ่น) ใช่ มันมาจากต้นตอต่าง ๆ ในสังคมของเรา ที่เราเข้าถึงปืนได้ง่าย และเราเข้าถึง ภาพยนตร์รุนแรง วิดีโอต่าง ๆ และอะไรทำนองนั้นได้ง่าย แล้วอันหนึ่งก็ส่งเสริมอีกอันหนึ่ง ดังนั้นสิ่งที่เราต้องดูแล คือตั้งแต่รากของมัน เช่นเดียวกับประเทศอื่น ๆ มากมาย ที่ไม่มีปืนมากนัก ความรุนแรงก็น้อยกว่า คุณเข้าใจที่ฉันหมายถึงไหม? และในที่ที่ทีวี ไม่เปิดโปงความรุนแรงมากนัก งั้นบางที มันอาจจะมีน้อยกว่า คุณต้องศึกษาก่อนว่า ความแตกต่างระหว่างอเมริกา กับประเทศอื่น ๆ คืออะไร แล้วคุณจะเห็นว่าทำไม (เราไม่ได้ทำมัน) ค่ะ (คนที่มีอำนาจตัดสินใจ ไม่ได้ทำ... เราสูญเสียการควบคุมอาวุธปืน) ใช่ (เรายังไม่ได้ผ่าน รัฐสภา เราไม่สามารถตัดโทรทัศน์ออกไปได้) ใช่ (มันเป็นแก่นหลักของชีวิตเรา) ไม่ ไม่ต้องตัดโทรทัศน์ออก (เราไม่สามารถควบคุมโทรทัศน์ได้ มันเป็นแก่นหลักของชีวิตเรา) คุณไม่สามารถทำแบบนั้นได้ แต่เราแค่... (ท่านบอกว่าโทรทัศน์ และปืน แต่พวกนั้นถึงสองอย่าง…) ไม่ เราแค่เปลี่ยนโปรแกรม เช่น ไม่ใช่แค่โทรทัศน์ เท่านั้นที่รัก แต่มันคือทุกสิ่ง เช่น หนังสือพิมพ์หรือสิ่ง (อื่น ๆ) เรามักจะมองด้านลบ ของชีวิตมากเกินไป ชาวอเมริกัน ไม่ได้เป็นลบไปเสียหมด ทีนี้ เมื่อคุณดูหนังสือพิมพ์ คุณรู้สึกกลัวมากที่จะไปอเมริกา แต่ตอนที่ฉันอยู่อเมริกา ฉันปลอดภัย ฉันโอเค มันเป็นเพียง การที่เราจดจ่อ กับสิ่งที่เป็นลบทั้งหมด แล้วย้ำซ้ำ ๆ ย้ำซ้ำ ๆ ในจิตใจ ของลูก ๆ ของเรา และเด็ก ๆ ก็ไม่มีทางเลือก พวกเขาไม่มีทางเลือก พวกเขาไม่มี ความสามารถในการแยกแยะ เหมือนผู้ใหญ่ คุณเห็นไหมว่า เมื่อคุณอ่านหนังสือพิมพ์ ตอนเป็นผู้ใหญ่ คุณจะได้รับการปกป้อง จากการแยกแยะทางความคิด ของคุณเอง แต่เด็ก ๆ ทำไม่ได้ แค่นั้นเอง แต่ชาวอเมริกันก็โอเค อเมริกานั้นโอเค ฉันเดินบนถนนตอนกลางคืน ฉันสบายดี ไม่มีปัญหา แต่เมื่อคุณอ่านหนังสือพิมพ์ คุณรู้สึกกลัว ใช่ ไม่เป็นไร (บอกฉันในเป้าหมายในชีวิตของท่าน) เป้าหมายของฉัน? (เป้าหมายของท่าน จุดประสงค์ของท่าน) ฉันไม่มีเป้าหมายอีกต่อไป ฉันเพียงทำสิ่งที่จำเป็น ในขณะนั้น (เช่นอะไรเหรอคะ) เช่นวันนี้ คุณขอให้ฉัน มาที่นี่ ฉันจึงอยู่ที่นี่ตอนที่ฉันสามารถช่วยได้ แค่นั้นเอง และอะไรก็ตาม ที่จะเกิดขึ้นต่อไป ฉันไม่คิด ฉันไม่มีเป้าหมายใด ๆ (ทำไมท่านถึงอยู่ที่ฮูสตัน?) เพราะคนเหล่านี้ เชิญฉันซ้ำแล้วซ้ำเล่า อย่างต่อเนื่อง (ท่านมีความสนใจเกี่ยวกับ ชาวเอาหลัก (เวียดนาม) มากมาย) ไม่เพียงแต่เอาหลัก (เวียดนาม) เท่านั้น เช่น เขาไม่ใช่ชาวเอาหลัก (ชาวเวียดนาม) เขาเป็นชาวยิวอเมริกัน และเขาเป็นหนึ่งในนักธุรกิจที่ ประสบความสำเร็จในประเทศของคุณ และเขาก็พาฉันมาที่นี่ และแน่นอน เพราะคำเชิญของเขา เป็นผลดีต่อผู้อื่นด้วย ฉันจึงมา (ท่านสอนผู้คน ให้ติดต่อกับพระเจ้าอย่างไรหรือคะ?) ฉันสอนอย่างไร? โอเค มีสองแบบ อันหนึ่งคือ ด้วยคำพูด อย่างที่ฉันจะ... ถ้าพวกเขาถามฉัน หรือถ้าฉัน ได้รับเชิญไปบรรยาย และ ฉันจะบอกพวกเขาว่า ทำไมคุณถึง ต้องทนทุกข์ ทำไมคุณถึงต้องการ สิ่งนี้และสิ่งนั้น ทำไมคุณถึงปรารถนา ทำไมคุณไม่เคยพอใจ เพราะคุณไม่รู้จักพระเจ้า ดังนั้นหากคุณรู้จักพระเจ้า คุณก็จะรู้สึกดีกว่า ดังนั้น ตอนนี้ฉันสอนพวกเขา ให้รู้จักพระเจ้า ซึ่งเป็นการเรียนรู้แบบไม่ใช้คำพูด เมื่อพวกเขายอมรับว่า พวกเขาควรรู้จักพระเจ้า ฉันก็จะสอนพวกเขา แต่ในความเงียบ ณ เวลานั้น ฉันไม่จำเป็นต้องสอนพวกเขาแล้ว พระเจ้าจะทรงสอนพวกเขา พวกเขาจะสอนตัวเอง (นั่นมาจากการประทับจิต?) ใช่ ๆ ๆ (มันไม่ใช่สิ่งที่ ท่านสามารถใช้วาจา) ไม่ ฉันแค่นั่งเงียบ ๆ พวกเขานั่งเงียบ ๆ ฉันไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นั่นด้วยซ้ำ เพราะการรู้แจ้ง คือธรรมชาติของตัวคุณเอง พระเจ้าอยู่ในคุณ คุณไม่จำเป็นต้องมีอาจารย์ เพื่อรู้จักพระเจ้า เพราะคุณลืม อาจารย์จึงต้องเตือนคุณ และมันง่ายกว่า ตอนที่มีใครบางคนรู้แล้ว แค่นั้นเอง ฉันไม่สามารถให้พระเจ้าแก่คุณได้ คุณคือพระเจ้า คุณมีพระเจ้า ฉันไม่สามารถให้การรู้แจ้งแก่คุณได้ คุณรู้แจ้งอยู่แล้ว (ฉันยังไม่เข้าใจค่ะ?) คุณเข้าใจ แต่คุณแค่ไม่รู้ ดังนั้นคุณต้องมีใครสักคน มาชี้ให้กับคุณ ฉันไม่สามารถให้สิ่ง ที่คุณไม่มี ดังนั้นคุณต้องรู้ว่า คุณมีการรู้แจ้งแล้ว (บอกฉันทีนะคะว่า ผู้รู้แจ้งจะเปลี่ยนไปอย่างไร ตอนที่พวกเขา... เมื่อพวกเขาตัดสินใจที่จะมีมัน) โอ้ สิ่งนั้น คุณต้องถามลูกศิษย์ของฉัน (โอ้ โอเคคะ) คุณเปลี่ยนชีวิตของคุณอย่างไร? (โอเคค่ะ ฉันจะถามพวกเขา ฉันจะถามพวกเขาค่ะ) ใช่แล้ว มันจะดีกว่า บางคนบอกฉันว่า พวกเขาจะไม่แลกมัน กับอะไร ในโลกนี้อีกเลย พวกเขาจะไม่แลกมัน กับสมบัติใด ๆ กับสิ่งใด ๆ ในโลกนี้ (ท่านพบมันได้อย่างไรหรือคะ?) ฉันพบมันได้ยังไง? ฉันพบอาจารย์ที่หิมาลัย ฉันจึงได้การรู้แจ้ง และฉันรู้ว่า พระเจ้าจะอยู่เคียงข้างฉันเสมอ นั่นคือวิธีที่ฉันรู้จักพระเจ้า ใช่ (และเพื่อทำให้ คนอื่นรู้แจ้ง) ใช่ ๆ ๆ นั่นคือสิ่งสำคัญ ฉันทำให้คนอื่นมีความสุขมากกว่า ที่ฉันทำให้ตัวเองมีความสุข บางครั้งฉันต้องเสียสละ ความสุขของตัวเอง ฉันต้องบอกความจริงกับคุณ แต่ในความหมายที่ลึกซึ้งกว่านั้น ฉันมีความสุขเสมอ เพราะฉันรู้สึก เหมือนอยู่บ้านเสมอ ไม่ว่าจะ อยู่ที่ไหนกับใครก็ตาม กับตัวฉันเอง (ท่านรู้ไหมคะ ผู้คนที่นี่ในส่วนของโลกนี้ ไม่ได้มีกูรูจริง ๆ ความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์หรือ ครูและลูกศิษย์ทางจิตวิญญาณ) ใช่ (บางทีท่านจะช่วยอธิบายได้?) พวกเขาไม่จำเป็นทำ (พวกเขาไม่จำเป็นต้องทำ) ใช่ คุณไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น ศิษย์ของฉันไม่เคยคำนับฉันเลย พวกเขาเรียกฉันว่า "อาจารย์" เพราะมันเป็นคำเรียก ที่เราใช้กันในโลกนี้ เหมือนกับเราเรียก "พี่สาว" หรือ "พี่ชาย" มันโอเค ไม่มีปัญหา แต่เราไม่ได้มีสิ่งที่เรียกว่า "ความสัมพันธ์" ฉันหมายถึง ความสัมพันธ์ที่อธิบายด้วยวาจา แต่พวกเขาแค่รักฉัน (โอเคค่ะ แต่พวกเขาอยู่ที่นี่แล้ว และพวกเขาเป็นศิษย์ของท่าน พวกเขาติดตามท่าน พวกเขาเคารพท่าน (ใช่ พวกเขาเคารพ) บอกฉันทีค่ะว่าทำไมมันถึงจำเป็น สำหรับพวกเขา) ฉันไม่รู้ พวกเขาเพียงแต่พบว่า มันจำเป็นสำหรับตัวพวกเขาเอง ฉันไม่ได้กำหนดมัน (เพราะท่านสอนพวกเขา วิธีที่จะเชื่อมต่อกับพระเจ้า และไม่มีใครสามารถไม่ใช่เหรอคะ?) อาจจะเป็นอย่างนั้น โอ้ใช่ คุณรู้ดีกว่าว่า... (ใช่ค่ะ แต่ฉันพูดไปแล้ว นั่นไม่ใช่ประเด็น) ใช่ โอเค ฉันก็สงสัยเหมือนกัน ว่าทำไม (อ่า ท่าน... โอ้ นั่นไม่จริงนะคะ) นั่นเป็นเรื่องจริง (มาดูกันว่า... โจอยู่ที่ไหน... โจ คุณมีคำถามไหมคะ? โอเค คุณมีคำถามไหมคะ? มีใครมีคำถามอื่นไหมคะที่อยาก ให้ฉันถามท่าน? ไม่มีใครถาม? ฉันกำลังมองหาอยู่...) (ที่จริง ผมมีคำถาม เกี่ยวกับการเป็นมังสวิรัติ (วีแกน) เหตุใดมันจึงสำคัญ?) โอ้ใช่ (ทำไมมันจึงสำคัญคะ?) คุณถามฉัน... โอเค โอเค (ทำไมมันถึงสำคัญ? การเป็น…) การเป็นวีแกน? เพราะพระเจ้าคือความรัก เรารักชีวิต เราต้องการที่จะ ใกล้ชิดพระเจ้ามากขึ้น ดังนั้นเราจึงอยากที่จะรักทุกชีวิต ให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ มันเจ็บปวดตอนที่เราฆ่า ถ้าเรากินเนื้อ (ชาวสัตว์) คนอื่น ก็ต้องฆ่าแทนเรา – ฆ่า (ชาว) สัตว์ และพวกเขาน่ารักไม่ใช่หรือ (ชาว) สัตว์ ? ใช่ ฉันคิดว่าเราควรให้สิทธิแก่พวกเขา ในการเพลิดเพลินชีวิตอย่างเท่าเทียม อย่างที่เรามี แค่นั้นเอง (ท่านไม่ได้รู้สึกว่าพระเจ้า ได้สร้าง (ชาว) สัตว์บางชนิดขึ้นมา เพื่อให้เรา (กิน?) กิน พวกเขาหรือ?) เช่นนั้น (ชาว) เสือ ก็คงพูดแบบเดียวกันกับเราว่า พระเจ้าสร้างมนุษย์ ให้เขากิน (ชาว) เสือ ((ชาว) เสือ) ใช่แล้ว (ชาว) สัตว์ที่ดุร้ายมากอื่น ๆ พวกเขาคงจะบอกว่า พวกเขามีสิทธิ์ ที่จะกินเราเหมือนกัน แล้วเราควรเป็นอาหารพวกเขาไหม? (แต่เราเป็น...) อะไรนะคะ? (เพราะเราควบคุมได้…) ของอะไรนะคะ? (...และเรามีความเป็นไปได้ ทางกายภาพมากกว่าในการฆ่า (ชาว) สัตว์ เพื่อให้มนุษย์สามารถกินได้) ฉันเข้าใจ แต่การไปละเมิดผู้ที่อ่อนแอกว่า ฉลาดกว่า และไร้ทางสู้กว่านั้น ไม่ยุติธรรมเลย พวกเขาก็เหมือนเด็ก ๆ คุณไม่คิดเช่นนั้นเหรอ การสู้กับคนเท่าเทียมกันนั้นถือเป็น เรื่องปกติ แต่การสู้กับคนด้อยกว่านั้น ถือว่าด้อยศักดิ์ศรีของเรา อย่าพูดเรื่องกิน หรือเรื่องอื่นใดเลย (ดังนั้นมันเกี่ยวข้องกับการทำร้าย (ชาว) สัตว์เท่านั้น ไม่ใช่ว่ามันทำร้ายร่างกายของเรา ใช่ไหมคะ?) มันทำร้ายด้วยนะ ที่รัก ทุกคนทราบเรื่องนั้น โอเค ดังนั้น ตอนนี้ในช่วงหลัง ๆ นี้ การวิจัย จากนักวิทยาศาสตร์หลายท่าน ได้พิสูจน์แล้วว่า การกินเนื้อ (ชาว) สัตว์ เป็นสาเหตุของโรค ที่รักษาไม่หายหลายชนิด เช่น โรคมะเร็ง และทุกคนก็รู้ว่า ชาวอเมริกันมีอัตราการเป็นมะเร็ง สูงที่สุดในโลก เพราะเรากิน เนื้อ (ชาวสัตว์) มากกว่าในประเทศอื่น เช่นในประเทศจีน หรือรัสเซีย ซึ่งสถานการณ์ ทางการเมืองของพวกเขา อาจไม่อนุญาตให้ผู้คน กินเนื้อ (ชาวสัตว์) มากเท่ากับเรา และอัตราการเกิดมะเร็งนั้นต่ำมาก เมื่อเทียบกับพวกเรา เมื่อเทียบกับชาวอเมริกัน นั่นมาจากการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ มันไม่ได้มาจากฉัน และทุกคนก็รู้ว่า เราเกิดมาพร้อมกับฟัน สำหรับวีแกน ไม่ใช่ฟัน [แบบที่] (ชาว) สัตว์กินเนื้อมี และลำไส้ของเรายังยาวกว่าด้วย มันถูกสร้างมาเพื่อการทานวีแกน และ (ชาว) สัตว์กินเนื้อจะมีลำไส้ ที่สั้นกว่า จึงสามารถผ่านออกไปได้เร็ว ดังนั้นหากเรากินเนื้อ (ชาวสัตว์) เข้าไป ก็จะตกค้าง อยู่ในลำไส้ของเรานานเกินไป ซึ่งเป็นสาเหตุ ของโรคมะเร็งหลายชนิด และปัญหาพิษต่าง ๆ (จะมีสักวันไหมที่โลกนี้ จะมีวันที่สงบสุข?) เรามาอธิษฐานกันเถิด หากทุกคนดำเนินตามแนวทาง ของพระเจ้า แนวทางแห่งความรัก และคิดถึงพระเจ้ามากกว่า สิ่งของทางวัตถุอื่น ๆ หรืออย่างน้อยก็บางส่วน... ที่จริงแล้ว ในการปฏิบัติธรรมของเรา เราไม่ได้คาดหวัง ให้ผู้คนหนีจากโลก และไปที่เทือกเขาหิมาลัย เพียงแค่หนึ่งในสิบของเวลาของคุณ สำหรับพระเจ้า และเก้าในสิบ ของเวลาสำหรับโลกก็มากเกินไปแล้ว เช่น เราทำสมาธิ เพียงวันละสองชั่วโมง หรือสามชั่วโมงเท่านั้น แต่เรามีเวลา 24 ชั่วโมงต่อวัน เราทำงานเพื่อโลกวันละ 10 ชั่วโมง วันละแปดชั่วโมง และนั่งสมาธิเพียงสองชั่วโมง หรือสามชั่วโมงเท่านั้น แล้วเราก็ (ยังคง) บ่น เราคิดถึงพระเจ้า เพียงวันละสามชั่วโมงเท่านั้น และผู้คนก็พูดว่า “มากเกินไป!” แล้วต้องทำยังไงล่ะ? เราไม่สามารถมีสันติสุขได้ ตราบใดที่เราไม่ตระหนักว่า พระเจ้าสำคัญกว่า สิ่งของทางวัตถุเหล่านี้ ตราบใดที่เรามีพระเจ้า เราก็จะมีสิ่งของทางวัตถุ เพราะพระองค์ คือผู้ประทานทุกสิ่ง และเราใส่ใจเพียงของขวัญเท่านั้น ไม่ได้ใส่ใจผู้ให้ นั่นคือสิ่งที่ กลับหัวกลับหางของภาพ เพราะเหตุนี้เราจึงมีปัญหา (ท่านเป็นชาวพุทธหรือเปล่าคะ?) ใช่ ๆ ฉันเป็นพุทธ ฉันเป็นคาทอลิก ฉันเป็นโปรเตสแตนต์ ฉันเป็นคริสเตียน ฉันเป็นมุสลิม ฉันเป็นฮินดู ฉันอธิบายว่า ศาสนาทั้งหลายนั้น มาจากอาจารย์ในอดีตทั้งสิ้น เช่น [พระ] คริสต์ หลังจากพระคริสต์สิ้นพระชนม์ ผู้คนเรียกตัวเองว่า คริสเตียน หลังจากที่พระพุทธเจ้า ปรินิพพานแล้ว พวกเขาก็ เรียกตัวเองว่าพุทธศาสนิกชน และหลังจากที่[พระศาสดา]มูฮัมหมัด ขอความสันติจงมีแด่พระองค์ สิ้นพระชนม์ พวกเขาก็เรียกตัวเองว่า ชาวมุฮัมหมัด แต่ครูเหล่านี้ก็สอนสิ่งเดียวกัน เช่นเดียวกับโยคะนันทะ และหลังจากที่พวกท่านตายไปแล้ว เหลือเพียง ส่วนเชิงทฤษฎีเท่านั้น จากนั้นก็ค่อย ๆ ก่อตัว เป็นนิกายทางศาสนา และพวกเขาก็ลืมสิ่งสำคัญไป สิ่งสำคัญคืออาจารย์ สอนโดยไม่ใช้ภาษา และนั่นคือ สิ่งที่สำคัญที่สุด เพราะเหตุนี้คุณจึงต้องมี อาจารย์ที่มีชีวิต ไม่เช่นนั้น คุณก็แค่อ่านหนังสือของท่าน แล้วก็รู้แจ้ง (เหตุใดจึงต้องมีอาจารย์ที่มีชีวิตคะ?) ก็ เพราะมันเหมือนกับไฟฟ้า – คุณต้องมีสายไฟ คุณต้องมีสายไฟที่ดี เพื่อนำไฟฟ้า ไปใช้กับสิ่งต่าง ๆ ภายในบ้าน สายไฟที่เสีย สายไฟที่คาพุท (ชำรุด) สายไฟที่ชำรุด ไม่สามารถส่งไฟฟ้าได้ (แล้วพระเป็นอาจารย์ใช่ไหมคะ?) อ้า ใช่ (เขาเป็นเหมือนอาจารย์ที่มีชีวิต หรือผู้รับใช้หรือไม่คะ?) หากเขาอยู่ในพระเจ้า หากเขาติดต่อกับพระเจ้า เขาก็เป็นอาจารย์เช่นกัน “นักบวช” หรือ “ฟาริสี” เป็นเพียงตำแหน่ง เช่นเดียวกับแพทย์หรือครู หากไม่มีการรู้แจ้ง ก็ไม่มีใครเป็นอะไรเลย (บอกฉันทีว่าท่านไปไหนมาบ้าง) ฉันไปที่ไหนมาบ้าง? (เช่นว่าวันนี้ ท่านจะทำอะไร โอ้ ฉันเดาว่า พวกเขามีโปรแกรมอื่น ๆ สำหรับฉัน (แต่ท่านไม่ไปหรือ... ท่านมีเหมือนกับว่า...) งานแถลงข่าว อะไรประมาณนั้น แล้วก็ ท่านกำลังจะไป…?) ดีแล้ว มันก็แล้วแต่นะ... ว่าพวกเขาต้องการมันหรือไม่ (ฉันต้องการมันค่ะ) คุณต้องการ? (ใช่ค่ะ) ผู้คนมีภาพลวงตามากมาย เกี่ยวกับการรู้แจ้ง ฉันต้องชี้แจงให้ชัดเจน ผู้คนมีความคาดหวัง ทางความคิดของตนเอง เกี่ยวกับการรู้แจ้ง ที่จริงแล้ว การรู้แจ้ง เป็นสิ่งที่คุณรู้เท่านั้น แต่คุณไม่สามารถพูดถึงมันได้ ทีนี้ เมื่อสิ่งที่เรียกว่า "การประทับจิต" เกิดขึ้น คุณจะทราบ แต่ไม่ใช่คนที่นั่งข้าง ๆ คุณ ไม่ใช่คู่ของคุณ หรือใครก็ตาม และมันไม่ใช่ว่าปัญหาทั้งหมด ของคุณจะหายไป หลังจากการรู้แจ้ง แต่พวกมันอาจจะหายไปในระดับหนึ่ง ขึ้นอยู่กับสิ่งที่อาจารย์เห็น สิ่งที่คุณต้องทำ เพราะบางครั้งคุณต้องเห็นเช่นกัน ปัญหาของเราก็เป็น (กระบวนการ) ของการเรียนรู้ ถ้าเราไม่ต่อต้านปัญหา ปัญหานั้น ก็จะลดน้อยลง และเราต้องเรียกหาอาจารย์ภายใน ฉันหมายถึง ปัญญาของเราเอง การรู้แจ้งของเราเอง ที่จะลุกขึ้นมา แก้ไขปัญหานี้ให้กับเรา แล้วคุณจะรู้สึกแตกต่างไป Photo Caption: ไม่เพียงแต่เป็นป้ายที่สวยงามเท่านั้น แต่ยังมีคุณสมบัติที่เป็นประโยชน์ด้วย